เคยคิดบ้างไหม ว่ามนุษย์เราจะสามารถมีพลังวิเศษแบบนิยายหรือหนังทำเงินชื่อดังของโลก
ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน ฉันคงขำและคิดว่ามันคงไม่มีทางเป็นไปได้หรอก
แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่ได้คิดแบบนั้นอีกแล้ว
เวลาเกือบหกโมงเย็นของวันศุกร์วันสุดท้ายในการทำงาน ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเพราะดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ฉันมีชื่อว่า ‘เดมี่’ เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สาม แต่ว่าช่วงชีวิตของฉันทั้งหมดใช้ชีวิตไปกับเรียนและการทำงาน และชีวิตการทำงานของฉันก็ติดอยู่กับร้านเบเกอรี่แห่งนี้ เป็นร้านเล็ก ๆ ตรงหัวมุมย่านใจกลางเมือง และแน่นอนว่าช่วงเวลานี้ผู้คนจะเข้าร้านเยอะพอ ๆ กับตอนพักเที่ยง ทำงานอยู่ร้านนี้มาเกือบปีแล้ว หลังจากรักษาตัวอยู่นานจากอุบัติเหตุเมื่อ 2 ปีก่อน เรียกได้ว่าเป็นอุบัติเหตุที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตฉันเลยก็ว่าได้ จากเหตุการณ์นั้นหมอบอกว่าฉันสูญเสียความทรงจำ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะ ฉันสามารถจดจำเรื่องราวได้ทุกอย่างเว้นเสียแต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในวันนั้น หมอบอกว่าเหตุผลที่ฉันจำไม่ได้เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นมันคงกระทบกระเทือนจิตใจมากเกินไป จนทำให้สมองเลือกที่จะตัดความทรงจำส่วนนั้นทิ้ง
อาจฟังดูน่าสงสารใช่ไหมล่ะ เกิดอะไรขึ้นก็จำไม่ได้ รวมไปถึงคนรอบตัวฉันก็ไม่มีใครกล้าบอกอะไรเลย แถมยังเจ็บตัวอีก ฉันคิดว่าความโชคร้ายของฉันจะหมดไปแล้ว แต่ไม่เลยฉันไม่ร็ว่านี้คือโชคดีหรือร้ายกันแน่ ด้วยความที่พระเจ้าอาจจะสงสารฉันที่สูญเสียความทรงจำไป เพราะหลังจากที่ฉันฟื้นขึ้นมาจากห้วงนิทราไปเกือบสองสัปดาห์ ฉันก็พบว่าตัวเองสามารถมองเห็นความคิดคนอื่นได้จากการสัมผัส ตอนแรกฉันคิดว่าคงเป็นเพราะสมองฉันกระทบกระเทือนอย่างหนักเลยทำให้เห็นภาพจินตนาการไปเองแต่ไม่ใช่เลย เพราะหลายต่อหลายครั้งที่ฉันเห็นสิ่งเหล่านั้น มันมักจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในเวลาต่อมา
ฉันพยายามบอกกับครอบครัวถึงสิ่งประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวฉัน และแน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อเรื่องราวที่ฉันบอกเลยแม้แต่น้อย มันเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติเกินกว่าเรื่องทางวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ได้ หลังจากนั้น ฉันจึงตัดสินใจไม่พยายามบอกพวกเขาอีกแล้ว สิ่งที่ฉันควรทำคือตั้งหน้ายอมรับกับเรื่องประหลาดเหล่านี้แล้วอยู่กับมันให้ได้
‘กริ๊ง ๆ ๆ’
เสียงกริ่งที่ห้อยอยู่ตรงลูกบิดประตูสีขาวหน้าร้านดังขึ้น เป็นสัญญาณที่แสดงถึงคนที่เข้ามาใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ฉันพบคนมากมาย แต่วันนี้กลับกลายเป็นวันที่ไม่ธรรมดาของฉันอีกแล้ว
“สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ” ฉันทักทายลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ด้วยรอยยิ้ม ตรงหน้าของฉันปรากฎภาพของชายร่างสูงโปร่ง ผมดำขลับที่เซตให้เข้าทรงอย่างเป็นระเบียบ ใบหน้าเรียวที่ได้รูป ดวงตาคมและคิ้วหนาที่มีรอยบากที่คิ้วด้านซ้าย แต่ทว่า ทำไมนะ… ทำไมฉันคุ้นหน้าเขาจัง ฉันเก็บความสงสัยไว้เพียงเท่านั้น พลางสะบัดหัวให้หลุดจากความคิด ที่ฉันคุ้นหน้าเขาอาจเป็นเพราะเขาคงเป็นลูกค้าที่เคยมาซื้อแหละมั้ง
“โกโก้เย็นแก้วหนึ่งครับ” เสียงทุ้มของลูกค้าตอบกลับมา พร้อมรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแต่แววตาของเขา ฉันกลับรู้สึกได้ว่ามันไม่ยิ้มด้วยเลย
“ค่ะ อย่างเดียวนะคะ รับอะไรเพิ่มอีกไหมคะ” ฉันถามต่อ
“ครับ อย่างเดียว”
“ทั้งหมด 65 บาทค่ะ เดี๋ยวรอรับสินค้าทางซ้ายมือนะคะ” ฉันรับเงินจากคนตรงหน้าพร้อมกับยื่นออเดอร์ให้กับเพื่อนพนักงานอีกคน
ระหว่างที่ฉันว่างจากการรับออเดอร์ลูกค้าแล้ว นี่เป็นเวลาเกือบสามทุ่ม นั่นหมายความว่าเป็นสัญญาณให้ลูกค้าทยอยออกจากร้าน เพื่อที่จะทำการเก็บร้าน และปิดร้านสำหรับวันนี้ แต่ทว่าสายตาของฉันไปสะดุดกับชายคนนั้น เขานั่งอยู่ในโต๊ะบริเวณมุมหน้าต่างด้านในสุดของร้าน และดูเหมือนว่าเขาจะนั่งอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานแล้ว ฉันจึงเลือกที่จะเดินไปบอกเขาว่าใกล้จะหมดเวลาของร้านแล้ว
“คุณลูกค้าคะ อีก 15 นาที ร้านของเรากำลังจะปิดแล้วนะคะ” ฉันเดินไปที่โต๊ะ พร้อมเอ่ยบอกเขาด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณนะครับ” เขาละสายตาจากหนังสือที่อยู่ในมือ เงยหน้าขึ้นมาตอบกลับฉันด้วยรอยยิ้มเช่นเคย
เมื่อฉันบอกเช่นนั้นแล้ว ฉันจึงเดินกลับไปยังหลังร้านเพื่อจัดการธุระทั้งหมดก่อนที่จะเลิกงาน และเมื่อฉันกลับมายังหน้าร้าน ร่างสูงโปร่งของชายคนนั้นก็ได้หายไปจากโต๊ะนั้นแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาคงเดินออกจากร้านไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ทว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ยังไม่หายไป นั่งคือหนังสือที่อยู่ในมือของชายคนนั้นก่อนหน้านี้
ช่วงสายของวันต่อมา
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ปกติจะเป็นวันหยุดของฉันอยู่แล้ว ฉันมีความตั้งใจว่าจะออกไปซุปเปอร์มาเก็ตใกล้ ๆ กับคอนโดที่ฉันพักอยู่ เพื่อที่จะซื้อของมาไว้ในห้อง ระหว่างทางที่กำลังเดินลงมาจากห้องพักฉันสังเกตเห็นได้ถึงร่างปริศนาที่เหมือนว่ากำลังเดินตามฉันอยู่ ความรู้สึกแปลกเริ่มเข้ามาในหัวอีกครั้ง ทั้งที่ระบบความปลอดภัยของคอนโดแห่งนี้ มีมาตรฐานเป็นอย่างดี แต่ด้วยความรู้สึกในตัวฉันเองที่กดดันเข้ามาในความคิดอีกแล้ว
ฉันก้าวเข้าลิฟต์กดปุ่มลงไปยังชั้นล่างโดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครก่อนหน้านี้ หางตาข้างซ้ายของฉันสะดุดอะไรบางอย่าง ฉันจึงหันไปมองเงาสะท้อนของใครอีกคน ตาของฉันเบิกโตเล็กน้อยด้วยความตกใจ ผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว ที่เป็นลูกค้าคนเดียวกับเมื่อวาน ไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากของฉัน แต่กลับเป็นเขาเสียเองที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากทักฉัน
“คุณพนักงานร้านเบเกอรี่ใช่ไหมครับ” เขาทักฉันอย่างเป็นมิตร
“เอ่อใช่ค่ะ .. คุณพักที่นี่เหรอคะ” ฉันถามกลับไป นี่มันเป็นครั้งที่สองแล้วกับบทสนทนาของฉันกลับเขาแต่ฉันกลับรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก
“ครับ” เขาตอบกลับมาแค่นั้น ก่อนที่ประตูลิฟต์จะดังขึ้นส่งสัญญาณเตือนว่ามีคนเข้ามาใหม่ ผู้คนในลิฟต์เพิ่มขึ้นมากกว่าสองชีวิตที่อยู่ก่อนหน้านั้น ทำให้ร่างของฉันอยู่ใกล้ชิดกับเขา และสัมผัสกันโดยที่ไม่ทันตั้งตัว
วูบหนึ่งในความคิดของฉัน ปรากฏภาพความคิดของผู้ชายคนนี้ ในนั้นมีใบหน้าผู้หญิงคนหนึ่งแต่มันเลือนรางจนแทบมองไม่ออก ฉันรู้สึกได้ถึงความโกรธภายใต้ความคิดของเขา ราวกับว่าเขาวางแผนจะทำอะไรบางอย่าง ฉันพยายามดึงสติกลับคืนมาแล้วโค้งหัวเล็กน้อยเป็นการขอโทษเขา คงไม่มีอะไรหรอกน่า ยุ่งเรื่องคนอื่นจริงๆเลย…
‘ติ้ง’ สัญญาณลิฟต์ดังขึ้นเมื่อเคลื่อนสู่ชั้นล่าง ฉันเองก็มุ่งหน้าเดินไปยังซุปเปอร์มาเก็ตดังที่ตั้งใจไว้ แต่ทว่าก้าวขาได้เพียงไม่นานก็ต้องชะงักขาไว้
หมับ! มือของฉันถูกอีกฝ่ายจับไว้ ฉันหันกลับไปเผชิญหน้า
“คุณทำกุญแจห้องหล่นไว้น่ะครับ”
“อ๋ออ .. ขอบคุณนะคะ ถ้าไม่ได้คุณก็แย่เลย” ฉันตอบขอบคุณเขา พลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน
“คุณคะ! ฉันเพิ่งนึกได้ค่ะว่าคุณลืมหนังสือเอาไว้ที่ร้านกาแฟ ฉันเป็นคนเก็บเอาไว้ให้เองค่ะ แต่ว่าฉันเอาไว้ที่ร้าน จะสะดวกไหมคะ ถ้าคุณจะมาเอาหนังสือคืนที่ร้าน”
“นี่ผมลืมไว้ที่ร้านเหรอครับ ผมกำลังคิดอยู่เลยว่าไปลืมไว้ที่ไหน ไว้ผมเข้าไปเอา ขอบคุณมากเลยนะครับ”
“ค่ะ ถ้าคุณสะดวกเข้ามาที่ร้านช่วงไหน ก็บอกมี่ไว้ได้นะคะ” ฉันบอกเขาแค่นั้น ก่อนที่ฉันจะขอตัวแยกย้ายออกมาทำธุระ เขาเพียงแนะนำตัวอย่างสั้น ๆ ชื่อของเขาคือ ‘วิล’ เป็นพนักงานบริษัทเกี่ยวกับออกแบบบ้านอยู่ใกล้ ๆ ร้านที่ฉันทำงานอยู่ และเขาเองก็พักอยู่ที่คอนโดเดียวกันกับฉัน อายุเขาดูโตกว่าฉันอยู่มากเลยทีเดียว มองภายนอกเขาดูเป็นคนอัธยาศัยดีเลยแหละ แต่ทุกครั้งที่เขายิ้มฉันจะรู้สึกเหมือนกับว่า ภายใต้รอยยิ้มซ่อนอะไรบางอย่างไว้ภายในแถมรอยบากที่คิ้วของเขาก็ยังทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนอยู่ดี อีกอย่างเมื่อกี้ที่เขาจับมือฉัน ภาพความคิดในหัวเขาที่แวบมาฉันก็ยังคงเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนเดิม ทำไมความคิดของเขาถึงมีแต่ผู้หญิงคนนี้นะ
น่าแปลกที่จากคนรู้จักกันธรรมดา กลายเป็นว่าฉันเจอเขาที่ร้านเกือบทุก ๆ วันของการทำงาน เว้นเสียแต่ฉันจะมีเรียนในบางวัน ฉันและวิลเริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ฉันสนใจเกี่ยวกับงานด้านออกแบบเพราะตัวฉันเองเรียนเกี่ยวกับด้านนี้ ซึ่งในอนาคตมันอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับฉันเองก็ได้
บางครั้งวิลเดินเข้าร้านเบเกอรี่แห่งนี้มากกว่าสองครั้งต่อวัน เขามักจะเข้ามาที่ร้านเพื่อสั่งกาแฟในช่วงเช้า และมาอีกครั้งในช่วงเที่ยง แต่ในช่วงหลังมานี้เหตุผลในการมาร้านครั้งที่สามของเขานั่นก็คือการมารอฉันกลับคอนโดในทุก ๆ วัน เราใกล้ชิดกันมากขึ้นแต่ความสัมพันธ์ของเรายังคงปกติ ฉันเพียงขอความช่วยเหลือจากเขาในเรื่องความรู้ด้านออกแบบ ซึ่งเขาช่วยฉันได้ดีเหลือเกิน วิลมักจะขนหนังสือเกี่ยวกับการออกแบบ เทคนิคการออกแบบที่เป็นประโยชน์มาให้ฉันเรียนรู้ และดูเหมือนว่ามันจะเยอะจนต้องหาชั้นหนังสือมาตั้งไว้
และวันนี้ก็เป็นเหมือนเช่นเคย วิลให้หนังสือเล่มหนึ่งกับฉัน มันคล้ายไดอารี่มากกว่าหนังสือที่ฉันเคยได้รับ ภายในหนังสือเต็มไปด้วยข้อความเล่าเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่งที่ทั้งชีวิตของเธอเต็มไปด้วยการออกแบบผลงาน แต่น่าแปลก ขณะที่ฉันกำลังอ่านและสัมผัสที่กระดาษของหนังสือเล่มนี้ ดูเหมือนว่าสัมผัสพิเศษของฉันมันกำลังทำงานอีกครั้ง เพราะปกติแล้วสัมผัสของฉันจะทำงานเมื่อสัมผัสกับผู้คน แต่นี่เป็นเพียงการสัมผัสสิ่งของทำไมฉันถึงรู้สึกขึ้นมาได้ขนาดนี้ สัมผัสของฉันมันพัฒนาตัวเองเหรอเนี่ย
ภาพในหัวฉายร่างของหญิงสาวที่นอนจมกองเลือดจากลักษณะภายนอกอายุของเธอดูเหมือนว่าจะมากกว่าฉัน ในอ้อมแขนของเธอมีร่างเด็กผู้หญิงกำลังนอนแน่นิ่งอยู่ ใกล้ๆ นั้นฉันเห็นถึงผู้ชายคนหนึ่งทรุดตัวลงที่พื้นร้องไห้อย่างหนัก เนื้อตัวของเขามีคราบเลือดเต็มไปหมด นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนะฉันพยายามสัมผัสกับหนังสือหน้าต่อไป และแล้วภาพก็ฉายขึ้นมาอีกครั้ง ฉันเห็นรถยนต์ที่สภาพพังยับเยิน รอบข้างทั้งหมดเต็มไปด้วยเสียงรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล จู่ ๆ ชายคนนั้นก็เดินตรงมาที่ฉันโดยที่ไม่ทันระวัง ฉันไม่อาจรู้ได้ว่าเขาเดินตรงมาหาฉันด้วยเหตุผลใด แต่ยิ่งเขาเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ฉันเห็นหน้าของเขาไม่ชัดนักแต่รับรู้ว่าใบหน้านั้นเต็มไปด้วยน้ำตาและความโกรธ ถึงแม้ว่าใบหน้าของเขาจะไม่สามารถเห็นได้ชัดจากตรงนี้แต่สิ่งหนึ่งที่เด่นอยู่บนใบหน้าของเขาคือคิ้วซ้ายของเขามีรอยบาก
‘ตริ้ง !’
เสียงไมโครเวฟทำให้ฉันสะดุ้งหลุดออกจากห้วงความคิดนั้น ภาพทั้งหมดในความคิดของฉันเมื่อกี้คืออะไรหรือมันคือความทรงจำที่หายไปของฉันกันนะ แล้วทำไมถึงมีชายหน้าคล้ายวิลอยู่ในนั้นกันนะ ฉันเก็บความสงสัยไว้เพียงเท่านี้ ก่อนจะหันไปสนใจอาหารมื้อค่ำ
เช้าวันต่อมา
ตั้งแต่ตื่นจากภวังค์ ในหัวของฉันก็ได้แต่นึกถึงภาพในหัวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ฉันตัดสินใจโทรหาคนในครอบครัวแล้วเล่าเรื่องราวที่เห็นให้รับรู้แต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีใครให้คำตอบอะไรกับฉันเลย ทุกคนได้แต่ขอร้องให้ฉันลืมเรื่องราวเหล่านี้ไป
ในช่วงสาย ฉันเลือกจะออกไปสูดอากาศยังสวนสาธารณะใกล้ๆ กับที่พัก ฉันสังเกตเห็นร่างสูงที่คุ้นเคย กำลังนั่งชมวิวอยู่ริมแม่น้ำ ฉันจึงไม่ลังเลที่จะตรงไปทักเขาทันที
“คุณวิลคะ!” ฉันทักทายเขาด้วยน้ำเสียงสดใส แต่ดูเหมือนว่าเขากำลังนั่งคิดอะไรบางอย่างอยู่เมื่อครู่ เขาจึงหันมามองฉันอย่างประหลาดใจ
“อ้าว คุณมี่ บังเอิญจังเลยนะครับ”
“ถ้าไม่รังเกียจ มี่ขอนั่งคุยด้วยได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ คุณมีเรื่องอะไรไม่สบายใจบอกผมนะครับ”
“คือมี่เริ่มเล่าให้คุณฟังอย่างไรดี เอ่อ คุณวิลอย่าเพิ่งคิดว่ามี่บ้านะคะ คือมี่ฝันถึงคุณเมื่อคืน” ฉันปริปากเล่าให้เขาฟังและโกหกว่ามันเป็นความฝัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาจะคิดอย่างไร เมื่อได้ฟังเรื่องประหลาดเหล่านี้
“ฮ่า ๆ ว่าไงนะครับ คุณเดมี่ฝันถึงผมเหรอครับ” เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะถามคำถามออกมา
“ค่ะ คือมี่ไม่แน่ใจ ว่ามี่คิดไปเองหรือเปล่าว่า บางทีเราอาจจะเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าคะ” ฉันถามคำถามที่ค้างคาใจออกไป
“ไม่นี่ครับ ผมว่าเราอาจจะเจอกันบ่อยหรือเปล่า คุณมี่ก็เลยเก็บไปฝัน”
“เอ่อ อย่างนั้นหรอคะ คือคนในภาพความฝันของมี่มันคล้ายคุณมาก มี่เลยสงสัยค่ะ ซึ่งมันอาจจะเกี่ยวกับความทรงจำของมี่ที่หายไปช่วงสองปีก่อน”
“อะไรนะครับ คุณมี่กำลังพูดถึงอะไร”
“คือมี่ความจำเสื่อมจากอุบัติเหตุค่ะคุณวิล แต่เป็นช่วงระยะสั้นนะคะ คือมี่แค่จำเหตุการณ์บางอย่างไม่ได้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวมี่เองกันแน่” ฉันเล่าให้เขาฟังอย่างไว้ใจ ก่อนที่จะเล่าต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาถามเลยแม้แต่น้อย
“คนรอบข้างมี่ไม่มีใครพูดถึงเหตุการณ์นั้น มี่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรกับตัวเอง พอเมื่อคืนมี่ฝันแปลก ๆ มี่ก็เลยอยากจะมาถามคุณให้แน่ใจน่ะค่ะ”
“ผมว่าคุณมี่แค่คิดมากนะครับ อีกอย่างผมเพิ่งรู้จักกับคุณไม่นานนี้เอง อย่าคิดมากเลยนะครับ สำหรับผมความฝัน มันก็เป็นแค่ความฝัน ไม่มีทางที่จะเป็นจริงหรอก คุณมี่คิดเหมือนกันไหมครับ” เขาถามฉันกลับด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มขึ้น
“อาจจะเป็นจริงอย่างที่คุณวิลบอกนั่นแหละค่ะ ขอบคุณนะคะที่ฟังเรื่องไร้สาระจากคนแบบมี่”
“ไม่เป็นอะไรเลยครับ อย่ากังวลไปเลยนะครับ”
“โอเคค่ะ มี่จะพยายามไม่คิดอีก” ฉันตอบเขาด้วยรอยยิ้ม เมื่อคุยกันได้ครู่หนึ่ง ฉันเองจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขอตัวกลับมาที่ห้องเพื่อมาจัดการกับผลงานออกแบบของตนเองต่อ
หลายวันถัดมาหลังจากที่พูดคุยในสวนสาธารณะวันนั้น ฉันแทบจะไม่ได้เจอคุณวิลเลย ไม่ว่าจะที่คอนโดหรือที่ร้านกาแฟแห่งนี้ที่ฉันมาทำงานเกือบทุกวัน จนบางทีฉันอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะเป็นเพราะเรื่องที่เล่าในวันนั้นหรือเปล่า ที่ทำให้เขาอึดอัดใจจนต้องหายไป และจนถึงวันนี้คำถามที่ค้างคาในใจของฉันก็ยังหาคำตอบไม่ได้สักที สิ่งที่เห็นในห้วงความคิดนั้นเป็นความทรงจำในอดีตหรืออะไรกันแน่ จู่ ๆ คำถามเหล่านั้นก็หายไปทันทีเมื่อร่างของคนที่หายไปหลายวันมาปรากฏอยู่ตรงหน้า
“คุณมี่ครับ” วิลเอ่ยทักฉัน พลางก้าวขายาวเดินตรงมายังหน้าเคาน์เตอร์ที่ฉันยืนอยู่
“อ้าว! คุณวิล หายไปนานเลยนะคะ วันนี้รับอะไรดีคะ” ฉันถามเขากลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะเขาที่หายไปในช่วงหลังนี้
“วันนี้ผมขอเป็นอเมริกาโน่ร้อนแก้วใหญ่แล้วกันครับ” เขายิ้มแต่ไม่ตอบคำถามก่อนหน้า
“ได้ค่ะ อย่างเดียวนะคะ คุณจะรับอย่างอื่นเพิ่มไหม”
“อ๋อไม่ล่ะครับ เอ่อ คุณมี่ครับ จะสะดวกไหมหากเย็นนี้ผมจะชวนคุณไปดูโปรเจคบ้านที่ผมออกแบบไว้ ผมอยากให้คุณเห็นมันเป็นคนแรกน่ะครับ”
“ได้เลยค่ะ มี่สะดวกมาก ๆ มี่ชอบผลงานของคุณมากเลยนะคะ” ฉันตอบกลับเขาด้วยน้ำเสียงดีใจ ก็แหงสิ ผลงานของจากบริษัทชื่อดังระดับประเทศก็ต้องมาจากฝีมือสถาปนิกที่รอบรู้และเก่งอย่างเขาเนี่ยแหละ
หลังจากนั้นในช่วงเย็นฉันไปตามนัดที่คุณวิลบอกเอาไว้ ฉันเดินมาถึงหน้าห้องพักของเขา จึงถือโอกาสเคาะประตูก่อนเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท และดูเหมือนว่าคนด้านในจะกำลังรออยู่แล้ว ไม่นานนักประตูตรงหน้าของฉันก็ถูกเปิดออกโดยเขา
ฉันยิ้มให้วิลก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่ถูกจัดแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีดำ เข้ากับบุคลิกของเจ้าของห้องเป็นอย่างดี วิลขอตัวไปจัดการธุระในครัวต่อ ฉันพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนที่จะกวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อมองผลงานที่เจ้าตัวกล่าวถึงก่อนหน้าที่ แต่ทว่าสายตาของฉันดันไปสะดุดกับภาพถ่ายบนฝาผนังเป็นภาพของหญิงสาวและเด็กผู้หญิง ลักษณะของคนในภาพมันคล้ายราวกับว่าเป็นคนเดียวกับในความฝันของฉัน ไม่ผิดแน่! ใจของฉันเต้นรัวอีกครั้ง มันเต้นรัวจนแทบจะระเบิดออกมา ความตกใจเริ่มพรั่งพรูเข้ามาในความรู้สึก ฉันตกใจมาก มือไม้เริ่มสั่น คำถามมากมายวนในหัว มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ภาพของสองคนนั้นจะมาอยู่ตรงหน้านี้ ฉันไม่รู้จักพวกเขามาก่อน ฉันหยุดความคิดนั้นก่อนจะตะโกนเรียกเจ้าของห้อง เรื่องนี้เขาต้องให้คำกับฉันได้แน่
“คุณวิลคะ!” ฉันตะโกนเรียกวิล แต่สายตายังคงค้างไว้ที่ภาพนั้นอย่างไม่เข้าใจ
“ครับคุณมี่ มีอะไรหรือเปล่าครับ” วิลวิ่งมาอยู่ตรงหน้าฉัน
“สองคนนี้ใครกันคะ ทำไม .. ทำไมพวกเธอถึงเหมือนคนที่มี่ฝันถึง” ฉันถามด้วยเสียงสั่นเครือ ฉันเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่ วิลเข้ามาอยู่ตรงหน้าฉัน เขาเอื้อมมือมารวบข้อมือของฉันเอาไว้ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เหมือนคนที่คุณมี่ฝันถึงเหรอครับ หึ”
”สองคนนั้นคือภรรยาและลูกของผมครับ ทั้งคู่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อน อนาคตที่วาดฝันไว้ของพวกเราได้จบลง ผมรู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ให้ใช้ชีวิตอย่างเดียวดาย” วิลเล่าด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น ฉันไม่กล้ามองที่ใบหน้าของเขา สายตาของฉันจ้องไปยังมือของตัวเองที่ถูกเขาจับไว้แน่น ฉันรู้สึกได้ถึงแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆและแน่นอนสัมผัสพิเศษของฉันก็เริ่มทำงานภาพความคิดของเขาที่เข้ามายังคงภาพใบหน้าของผู้หญิงคนเดิมแต่ความโกรธใต้ความคิดเขามันมากขึ้น
“คุณวิลคะ มี่เจ็บ! โอ๊ย” ฉันพยายามร้องขอเขา
“แต่คุณรู้ไหม ว่าคนที่มันเป็นต้นเหตุ มันกลับใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ทำเหมือนกับว่าเหตุการณ์นั้นมันไม่เคยเกิดในชีวิตอย่างนั้นแหละ! เพราะมันก็แค่สูญเสียความทรงจำ แต่ผมน่ะ มันสูญเสียทั้งชีวิต!” สิ้นเสียงตะคอกของร่างสูงตรงหน้า วิลคนตรงหน้ากับคนที่ฉันรู้จักมันไม่เหมือนกันเลยสักนิด น้ำตาของฉันไหลมาโดยไม่รู้ตัว ฉันหลับตาขอให้เรื่องราวที่ฉันคิดมันไม่เป็นความจริง ภาพเหตุการณ์อุบัติเหตุในวันนั้นมันกลับมาสะท้อนอีกครั้ง ใช่ นี่สินะคือความทรงจำที่หายไป เป็นฉันเองที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด ความรู้สึกหนักอึ้งมาถาโถมเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ ฉันทำให้คน ๆ นึงต้องสูญเสียคนสำคัญในชีวิตไป ผิดกับฉันที่ลืมแม้กระทั่งเหตุการณ์ในวันนั้น และทุกคนรอบข้างพยายามปกปิดเพื่อไม่ให้ฉันรู้สึกผิด ฉันเอ่ยปากขอโทษวิลครั้งแล้วครั้งเล่า
“แต่คุณไม่ต้องขอโทษผมหรอกนะ” เป็นอีกครั้งที่เขาส่งรอยยิ้มมาให้ฉัน แต่มันไม่ได้เป็นรอยยิ้มปลอบประโลมใจ มันกลับทำให้ฉันรู้สึกกลัวเขามากขึ้นไปอีก นิ้วชี้ข้างขวาของเขาเอื้อมมาไล้ที่ข้างแก้มฉันเบา ๆ มือข้างซ้ายของเขายังรวบข้อมือของฉันไว้แน่น ฉันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเลือกได้ฉันอยากจะหายไปจากตรงนี้ ฉันข่มความกลัวด้วยการกัดริมฝีปากไว้แน่น
“ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาคุณเดมี่เป็นคนดีมากนะครับ ไม่สิต้องเรียกว่าตั้งแต่ผมตามคุณมา” ดวงตาของฉันเบิกโตอีกครั้งด้วยความตกใจ นี่เขาไม่ได้เพิ่งเข้ามาทำความรู้จักฉันหรอกเหรอ
“คุณว่ามันไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอครับ ที่ผมไปร้านที่คุณทำงานอยู่บ่อย ๆ แถมเรายังบังเอิญอยู่คอนโดเดียวกันอีก ทั้งหมดนี้มันเป็นความตั้งใจของผมทั้งนั้นแหละ!” สิ้นคำพูดของวิล ฉันกลับเห็นภาพใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นชัดขึ้นเรื่อยๆอาจจะเป็นเพราะเราสัมผัสกันนาน ใบหน้าผู้หญิงคนนั้นคุ้นตาจนฉันใจกระตุก
“ผมตามคุณตั้งแต่คุณนอนไม่รู้สึกตัวตั้งแต่อยู่ที่โรงพยาบาล แต่โชคดีนะครับ คุณมันตายยากเหลือเกิน” วิลกระซิบลงที่ข้างหูของฉันด้วยน้ำเสียงเรียบ สิ้นน้ำเสียงนั้นภาพที่ปรากฎอยู่ในตอนนี้มันชัดเจนเหมือนกับส่องกระจก ใช่แล้ว ผู้หญิงในภาพความคิดนั่นคือ ฉันเอง
“คุณคิดจะทำอะไร!” ฉันถามออกมาอย่างตกใจด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่ทว่ากลับไม่มีเสียงของเขาตอบกลับมา มีเพียงแค่เสียงหัวเราะที่ดังขึ้น
เพียงเสี้ยวความคิด ภาพเหล่านั้นหายไปอีกครั้ง สายตาตอนนี้ปรากฏเพียงแค่ร่างสูงของเขาที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แสนน่ากลัว ฉันอยู่ในการควบคุมของเขานานเกินไป จนไม่ทันสังเกตว่าในมือด้านขวาของเขาถือมีดไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือมันอาจจะถูกเตรียมการไว้ตั้งแต่แรกที่เขาขอตัวเข้าไปในห้องครัวนั้น นาทีนี้ฉันได้แต่ร้องขอชีวิตแต่ทว่ามันไวกว่าความคิดของฉัน วิลปล่อยมือฉันให้หลุดจากการควบคุมก่อนที่จะผลักฉันให้ล้มลงมาที่พื้นห้อง ก่อนเคลื่อนตัวมาคร่อมฉันไว้ มือซ้ายของเขาเลื่อนมายังลำคอของฉัน เขาบีบมันแน่นจนฉันหายใจไม่ออก ฉันพยายามเอามือสองข้างของตัวเองต้านแรงการกระทำเหล่านั้น แต่ดูเหมือนว่าการกระทำของฉันมันไม่ได้เป็นผลแม้แต่น้อย ฉันสู้แรงของคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ มือขวาของวิลเลื่อนปลายมีดมาใกล้คอของฉันอย่างช้า ๆ นี่สินะ ความรู้สึกของคนกำลังใกล้ตาย มือหนาของอีกฝ่ายค่อย ๆ แนบปลายมีดมาที่คอฉันอย่างรวดเร็ว
“อึก!” ไม่มีเสียงใดออกมาจากปากของฉัน ทุกอย่างรอบข้างมันค่อย ๆ เงียบลง ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหมดลมหายใจ และในดวงตาของฉันปรากฏเพียงแต่ภาพของคนตรงหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของเขา แฝงไปด้วยความชั่วร้าย และนั่นคือภาพสุดท้ายก่อนที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดลง
เช้าวันต่อมา เสียงรายงานข่าวจากโทรทัศน์ดังขึ้น เป็นที่พูดถึงไปทั่วเมืองว่า เกิดเหตุสลดในช่วงเช้าตรู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับรายงานในช่วงเช้าว่าพบศพของหญิงสาว ถูกโยนทิ้งลงแม่น้ำ สภาพศพเบื้องต้นพบว่าลำคอเป็นแผลลึกคล้ายถูกของมีคมปาดคอ ปากแผลกว้าง 10 เซนติเมตร ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ ทราบชื่อผู้เสียชีวิตในเวลาต่อมาว่าคือ นางสาว เดมี่ รีเบคกา อายุ 23 ปี ซึ่งจากการการสวบสวนพยานผู้เห็นเหตุการณ์ในเบื้องต้นไม่สามารถระบุสาเหตุได้ จึงส่งศพชันสูตรหาสาเหตุการตายที่โรงพยาบาล และขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังรวบรวมหลักฐานจากกล้องวงจรปิดในพื้นที่เพื่อหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี
ถึงแม้ฉันจะมีพลังวิเศษแบบในนิยาย
ถึงฉันจะสามารถมองเห็นความคิดคนอื่นได้
แต่แล้วมันยังไงล่ะ ฉันรู้สึกว่ามันแทบไม่มีประโยชน์เลย
นอกจากมันทำให้ฉันรู้ว่า… ความคิดของมนุษย์มันเกินที่จะรับรู้และเข้าใจได้